วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

The Warren Buffett Way



The Warren Buffett Way

Buy at : Kinokuniya
On Date : 2009-11-28

เป็น Text Book เล่มแรก ที่บังอาจซื้อมาอ่านดูจิว่าจะอ่านเสร็จวันไหน
เอามาแปะไว้ก่อน ว่าจะใช้เวลากี่เดือน เหอะๆๆ
...

....
.
.

อาจจะเป็นปีก็เป็นได้ ><

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

0005 : ประสบการณ์ในการลงทุน ภาคแรก




หลังจากนอกเรื่องในบทความก่อนหน้านี้มาเยอะ .. บางเรื่องออกไปไกลเลย เหอะๆ เอาหน่ะไม่ว่ากันน๊า ไงก็แล้วแต่วันนี้อยากเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างงงง ว่าแล้วตามเลยย จะได้ทบทวนสิ่งที่ตัวเองทำไว้ด้วย ^^



เป็นเวลาเกือบจะสองปีที่แล้ว คลุกคลีกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่ทำคนรวยและจนกับได้ภายในวันสองวัน จะว่าไปแรกๆที่รู้จักตลาดหุ้นก็เพราะเกมการแข่งขัน click2win ที่ตลาดหลักทรัพย์จัดแข่งทุกปีช่วงแรกๆที่เล่นนั้นก็อยู่มหาลัยปีสามจะปีสี่ เล่นตอนแรกๆตื่นเต้นมาก ถึงเงินปลอมก็เหอะ เหมือนได้และเสียตังค์จริงๆเลย >< ตอนท้ายๆเหมือนจะขาดทุนเป็นแสน....จึงทำให้เข้าใจว่า ตลาดหุ้นในความคิดตอนนั้นเหมือนการพนันบนความน่าจะเป็น แต่ละวันๆคือการมาดูข่าวหาข่าวว่าตัวไหนจะวิ่งไปบ้าง จะแพงกว่าที่ซื้อมาบ้าง ดู volumn อะไรมากมาย จนเลิกเล่นไป ในที่สุด....

หลังจากเรียนจบมหาลัยได้มีโอกาสไปอบรมนักลงทุนรุ่นใหม่ ติดแบบฟลุ๊คๆๆ จากที่นี้แหละจึงได้รู้หุ้นนั้นคือทรัพย์สินที่เหมาะแก่การลงทุนมากที่สุด หากรู้วิธีที่ ok กับชีวิตเรา ที่ต้องบอกว่าวิธีที่ ok ที่สุดกับตัวเรา นี้หมายถึง การที่รู้จักตัวเองเสียก่อนที่จะรู้จักตลาดหุ้น ลองเปรียบเสมือนหมากรุก คนแต่ละคนย่อมมีวิธีที่เล่นที่แตกต่างกัน อาจเพราะวิธีเล่นที่ต่างกัน มีครูต่างกัน มีประสบการต่างกัน จึงทำให้เล่นหมากรุกได้หลากหลาย แต่ทุกวิธีก็มุ่งหมายจะเอาชนะฝ่ายตรงข้าม ตลาดหุ้นก็เช่นกัน คนเรามีความสามรถที่ต่างกัน ดังนั้นแล้วการลงทุนในหุ้น ก้มีหลักและวิธีที่แตกต่างเช่นกัน ตรงนี้มันเป็นเรื่องของการปฏิบัติล้วนๆ การได้ลองทำ การได้ลองถือครองหุ้น การได้คลุกคลีกับหุ้น ก็ทำให้เราเห็นตัวเองได้มากขึ้นว่า เราควรจะลงทุนอย่างไรให้เหมาะกับชีวิตของเรา...

เมื่อมีการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ควรจะมีเป้าหมายชัดเจน ภาพที่เราจะไปในระยะเวลาเท่าใด อย่างน้อยควรตอบให้ได้ว่าเราลงทุนเพื่ออะไร ในระยะเวลาเท่าใด พอเป็นหลักให้ได้เดินไป ให้ได้มอง ก็เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ การมองภาพนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดก็ว่าได้ เพราะท้ายสุดแล้ว เราต้องตีภาพพตรงนี้ออกมาเป็นกลยุทธที่จะปฏิบัติทุกๆวัน อย่างสม่ำเสมอ เพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาว.. แน่นอนว่าในช่วงแรกของการลงทุนของผมนั้น การตั้งเป้าหมายให้ได้เป็นเรื่องแรกๆที่ต้องทำ หล่ะวันนั้นผมก็ได้เขียนเป้าหมายไว้แล้ว...นี้คือยุทธศาสตร์ ต่อมาที่ต้องทำคือการวางกลยุทธและการทำอย่างสม่ำเสมอทุกๆวัน ตรงนี้เป็นเรื่องที่เราต้องรู้จักตัวเองล้วนๆ ว่าเรามีความพร้อมด้านไหน เรื่องอะไร สิ่งที่ขาด สิ่งที่ไม่รู้ แหล่งข้อมูล วิธีการทำ บลาๆๆ มากมาย ><

ก็ดูเหมือนจะยาก ครับอาจจะยากถ้าเรามองดูอย่างเดียว สิ่งที่จะเรียนรู้ได้ดีที่สุดคือลองทำคับจะได้รู้ว่าเรา ขาดเหลืออะไร ยังไม่พร้อมส่วนไหน ปรับปรุงอะไรได้บ้าง อย่างของผมในตอนนั้นมีปัญหาเรื่องเก็บตังค์ไม่อยู่... เห็นอยู่ในบัญชีเป็นหมด ก็เลยแก้ไขใหม่ซะ เงินออก โอนไปหุ้นปันปั๊บ ก็ถอนออกมาไม่ได้ ก็เป็นการสร้างวินัยอย่างง่ายๆของผมเอง

แล้วเดี๋ยวจะมาต่อในภาคสองนะงับ

สรุปง่ายๆคือ

ควรจะตอบตัวเองให้ได้ว่า

เราลงทุนเพื่ออะไร ในระยะเวลาเท่าไหร่ (เป็นยุทธศาสตร์)
ต่อมาคือทำอย่างไรให้บรรลุ (เป็นกลยุทธ)

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

0004 : รายงานการจัดตั้งห้างร้าน

2009-12-07 @ Central World

วันนี้มีโอกาสได้คุยกับน้องบริหารคนนึง ขอเล่าเรื่องราวก่อนหน้าสักเล็กน้อย ในใจลึกๆนั้นส่วนตัวแล้วอยากจะจัดตั้งบริษัทเป็นของตัวเองเลยเป็นที่มาของโครงการนี้ การทำธุรกิจขายคอมบน e-market

ก็จะมาลำดับการริเริ่มเหตุและผลและงานที่จะไปในอนาคตให้ฟังนะงับ

ทำไมถึงเลือกการเปิดธุรกิจขายคอมบนโลกออนไลน์??

สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากจะแยกมาเป็นประเด็นคร่าวๆนะ

ด้านตัวเอง
  • เพราะมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์
  • มี connection พอสมควร
  • มีทุน
ด้านผู้กระจายสินค้า
  • สั่งซื้อในปริมาณน้อยได้
  • มีการรับประกันสินค้า
  • ส่งฟรี
  • มี margin ประมาณ 5-10%
  • มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย
ด้านลูกค้า
  • ลูกค้าเป็นคนรู้จัก
  • ลูกค้าเป็นคนในองกรณ์
  • สามรถร้องขอให้ชำระเงินก่อนได้สินค้าได้
ตอนนี้ก็รวบรวมความได้เปรียบได้ประมาณนี้ส่วนข้อจำกัดก็มีดังนี้
  • คุณภาพสินค้าเราไม่สามารถแกะก่องมาตรวจดูได้
  • การรับประกันถ้าลูกค้าส่งทางเราอาจจะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มในการส่งสินค้าต่อไปทางผู้กระจายสินค้า
  • การซื้อสินค้าจำเป็นต้องซื้อเงินสด
  • ต้องจัดตั้งมีทะเบียนการค้าเพื่อที่จะค้าขายกับทางผู้กระจายสินค้า
  • ความเสี่ยงที่จะส่งของให้ไม่ทัน
  • ความเสี่ยงอื่นๆที่อาจจะมองไม่ออก บลาๆๆ

พอมีปัจจัยเหล่านี้ key เริ่มต้นก็อยู่ว่า การขายคอมผ่านเน็ตให้คนที่เรารู้จักหรือตลาดที่เราเข้าใจ เป็นทางเริ่มต้นที่ไม่ยากเกินไป ก็เลยกะจะลุยดู

ต่อมาคือสินค้าไอทีที่จะขายหรือทำตลาด

เพื่อไม่ให้เกิดความหลากหลายที่มากเกินไปก็จะทำตลาดในสินค้าห้าประเภทคือ
  1. จอภาพ
  2. Desktop
  3. Notebook
  4. Smart Phone
  5. External Hardidk
เพราะทาง ผู้กระจายสินค้ามีสินค้าหลากหลายมาก ก็เลยเลือกมาห้าตัวที่ค่อนข้างเจาะกลุ่มลูกค้า mass มากที่สุด(คงไม่ขาย server อะ )

skill ที่ต้องการสำหรับการเปิดร้าน
  1. การจัดการ
  2. การเงิน
  3. การตลาด
  4. การบริการ(สินค้า)
  5. การบัญชี
ตอนนี้ก็ได้น้องบริหารคนนึงมาร่วมแล้ว ซึ่งน้องก็มีความถนัดในเรื่องของการจัดการ การตลาด การวิเคราะห์ต่างคุณลักษณะต่างๆของธุรกิจ

ส่วนผมก็ถนัดในทางการบริการ ความรู้พื้นฐานของคอม การเจรจาต่อรอง การ contract ต่างๆๆ การเงินบริหารเงินหน้าตัก

สิ่งที่ขาดตอนนี้เลยคือการ translate แบบจากการคิดลงสื่อ บนอินเตอร์ การ design เว็บ เป็นต้น

วันที่คุยกันก็สรุปแผนภาพมาได้ดังนี้




วิสัยทัศน์คร่าวๆ

จัดหาสินค้าไอทีที่มีคุรภาพราคาถูกด้วยบริการประทับใจ


การทำตลาดคร่าวๆ
  1. ตลาดซื้อขายในองกรณ์
  2. twitter
  3. facebook
  4. website
  5. connection
กลยุทธ์ product,price,place,promotion

งานที่แยกย้ายไปทำ
ยศ
  1. สรุปข้อมูลทั้งหมด
  2. ข้อมูลราคาสินค้า ใน pantip เว็บขายคอมอื่นๆ เทียบกับราคาเรา
  3. การจัดตั้งห้างร้าน
  4. ติดต่อหาคนทำบัญชีพร้อมสอบถามค่าใช้จ่าย
น้องเค้ก
  1. ข้อมูลกลุ่มลูกค้า
  2. แนวโน้มการตลาด
  3. การทำตลาดต่างๆ
  4. โปรโมชั่น

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

0003c : ลูกหมูอ้วนพี ^^


สายๆหน่อยของต้นปี 2009 เสียงแม่เดินเข้ามาในห้อง...ในมือถือกล่องแปลกๆกล่องนึง หล่ะยื่นให้ผมมา
"อะ ลองเปิดดู.." แม่ให้พร้อมยิ้มกริ่มๆเล็กน้อย
"อะไรอะแม่ " ผมถามด้วยความงุนงงนิดหน่อย..

ว่าแล้วพอเปิดมาก็เป็นกระปุกตัวน้อยยย...

อะโห้ยย โดนใจเจรงๆคร๊าบ กำลัวมองหาเลย...

ในช่วงนั้นกำลังอ่านหนังสือพ่อรวยสอนลูกมั้ง มีอยู่บทนึงที่พูดถึงการจัดสรรปันส่วนเงินเก็บของตัวเองได้สามส่วนดังนี้
  1. เงินออม
  2. เงินลงทุน
  3. เงินทำบุญ
ขอขยายความสักเล็กน้อย
เงินออม ก็เปรียบเสมือนเงินเสบียง..ในยามฉุกเฉิกเงินก้อนนี้จะทำหน้าที่ หล่อเลี้ยงเราไปได้สักระยะนึงในกรณีไม่มีรายได้ ถ้าเปรียบตามหนังสือพ่อรวย เค้าบอกว่า มีให้พอใช้ประมาณ หกเดือนถึงหนึ่งปี เผื่อว่าจะขาดรายได้ช่วงนั้นมากไปหน่อยก็จะยังมีกินไปสักระยะไม่อดตายว่างั้น

เงินลงทุน ก็เป็นเงินที่เอาไว้ลงทุนให้งอกเงย ทำให้เกิดดอกออกผลแล้วเมื่อได้ผลมาก็กลับนำไปลงทุนซ้ำเพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงินในอนาคต

เงินทำบุญ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเพื่อสาธารณะ แจกจ่ายให้กับคนที่ด้อยโอกาสกว่า...

ทั้งหมดนี้เป็นเงินที่จัดสรรจากเงินเก็บไม่รวมเงินที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

ช่วงแรกๆจำได้ว่าตื่นวิชาคร๊าบบบบ
พยายามแบ่งเป็นสามส่วนเหมือนทฤษฎีนั้นแหละ แต่ก็ไม่ได้กะเกณฑ์ว่ากี่ % ยังไงแบบไหน
ผลก็คือ เก็บเงินออมได้ พอเดือนไหนเริ่มฝืดก็จะไปแคะ เหอะๆ ดูแล้วไม่เป้นก้อยเป็นกอบเป็นกำ เลยเปลี่ยนใหม่ เก็บเงินออมในรูปแบบทองคำ...เหอะๆก็ยังไม่รอดอยู่ดี ไอตัวเราช่วงนั้นก็มีวินัยไม่มากเท่าไหร่

ทีนี้เลยตัดปัญหามันเลย ลงทุนให้หมดเลย ไม่ออมมันแหละ
ผลก็คือแคะออกมาได้อยากขึ้นเพราะเราซื้อเป็นหุ้นมานหมดเลย จะขายก็เสียดาย 5555
แต่ก้มีแอบหลุดรอดออกมาบ้าง นิดๆๆ ><

ท้ายสุดก็เป็นเงินเก็บเพื่อการกุศล เงินก้อนนี้จะถูกหยอดกระปุกทุกวัน วันละสิบบาท .. และเดือนหน้าก็ใกล้วันครบปีแล้ว ที่ถูกที่ควรก็ควรจะได้ทั้งหมด 3,650 บาท ไว้สำหรับทำบุญทำทาน แต่บางวันนั้นผมก็ใส่เกินหรือไม่ใส่บ้าง เหอะๆๆ ก็ใกล้วันเปิดกระปุกหมูแหละ ลองมาทายเล่นๆดีกว่าว่าจะเกินอะป่าว กิ๊วๆๆๆ

จากการลองแบ่งเงินเป็นก้อนๆแล้ว
พบว่าตัวเองยังไม่สามารถคุมตัวเองได้ในบางอย่าง ซึ่งก็เป็นบทเรียนที่ดีสำหรับการวางแผนการเงินใหม่ในปีนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังคงแบ่งเงินเป้นสามก้อนเช่นเคยแต่คงเปลี่ยนรูปแบบการเก็บนิดหน่อยตามความเหมาะสม

ไว้วันที่ครบรอบกระปุกหมูแล้ว..

จะมาเขียนเป็นแผนเอาไว้กำหนดเป้าหมายการเงินของตัวเองในปีหน้าหล่ะกานนนนนนนนนน^^


เงินๆทองๆเป็นของนอกกาย...แต่ถ้าอยากทำไรเพื่อประเทศนี้..ก็ต้องเริ่มต้นที่ตัวเรา เก่งให้มากพอที่จะช่วยคนอื่น ก็ฝันไว้แล้วว ดูดิ๊จะไปได้แค่ไหน

^^

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

0002b : ความโง่...

เที่ยงคืนก่าๆ อีกแล้ว เหอะๆๆ ไมหน้าหนาวปีนี้มันไม่หนาวเยือกเหมือนปีที่แล้วเลยแฮะ ><
วันนี้ก็คงยุ่งเหยิงเหมือนเคยยยย ทำนู้นนี้นั้น และหลักลอยเหมือนเดิมเหอะๆๆ
หาแก่นสารไม่ได้ซะเรยย

พอจะได้นั่งว่างเหมือนว่าอยากขีดเขียนระบายออกหน่อยๆๆ

จะว่าไปแล้ว เราก็จบคอมพิวเตอร์มาเนอะ แบบฉิวเฉียดแทบจะไม่จบ จำได้ว่าลงเรียนฟิสิกสองมาหลายรอบมากๆ เหอะๆ จนแล้วจนรอด ก็อ้อนๆอาจารย์จบมาจนได้ ขอบคุรนนะงับ ท่านอาจารย์...

ตอนสมัครงานก็ยังเป็นความโชคดีที่ SCB รับเด็กคนนึงที่เกรดเน่าๆ ขอบคุรครับ SCB...

ระหว่างเรียนจบก็ไปอบรมนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ตลาดหลักทรัพย์มา ก็ไม่ได้รู้เรื่องการเงินเอาซะเลยยย ขอบคุรครับ ตลาดหลักทรัพย์ ^^

เพราะโง่ อาจารย์ฟิสิกจึงได้ช่วย
เพราะเกรดไม่ดี ถ่อมตัวเวลาสมัครงาน จึงติดได้
เพราะไม่รู้เรื่องการเงิน สมองเลยไม่ถูกจองจำด้วยกรอบของความรู้

สรุปแล้วได้ดีเพราะโง่ว่างั้น

เพราะไม่รู้จึงเป็นแรงผลักดันมาได้เรื่อยๆ
เพราะไม่มีกฏเกณฑ์จึงไม่ถูกบังคับให้เรียนรู้
เพราะโง่จึงรู้ได้ไม่สิ้นสุด

ย้อนมาดูวันนี้ มองกลับไป อืมเราก็มาไกลเหมือนกานนะ อะไรที่เคยงงแต่ก่อนมาก็รู้มากขึ้น รู้ตัวด้วยว่าไม่ค่อยชอบคอมพิวเตอร์... เขียนโปรแกรมงั้นๆ อะ น่าเศร้า สายอาชีพนี้คงไม่เจริญแน่ๆ

การเงินการลงทุนก็รู้มากขึ้น แต่ก็เหมือนยังโง่อยู่...ไม่ได้จบบริหารมาก็มองไรมะค่อยออก

แต่ก็ดีเนอะ เพราะไม่รู้เนี่ยแหละ เลยลากๆด้วยเพื่อนๆพออยู่คนเดียวก็จินตนาการบ้าง ผูกๆระโยงระยางเหมือนไม่เกณฑ์และกฏ ก็นั้นแหละ แก่นแท้บางทีรูปทรงมันไม่จำเป็นต้องเหมือนแท่ง บางทีเป็นแค่ก้อนกรอบความรู้ พอดูให้ขาดเห็นให้ชัดก็ลงทุนได้แล้ว

เหอะๆๆ ฟังๆไป เขียนๆมาก็งงเหมือนกานแฮะ ^^

และวันนี้ก็จะทำสิ่งโง่ๆอีกอย่างนึง

อยากขายของแต่ไม่รู้อะไรเลย โทรไปหา distibutor แบบงง เพ่น้องจะค้าขายกับเพ่ ทำไงบ้าง

เพ่แกก็บอกโค้ดลับงงๆมาว่า เอ่อ..น้อง จัดตั้งเป็นนิติบุคคลละค่อยมาคุยกัน

ต่อมาโทรไปถามอีกหลายๆคน นิติบุคคลตั้งยังไง เอ่ออ ทุนจัดตั้งบริษัทล้านนึง แทบกรี๊ด แต่รื้อไปรื้อมา

อ๋อ ซิกแซกได้ด้วยนี้หว่า โฮะๆๆๆ

โทรไปถามใครก็มักจะโดนกรอบความรู้คนอื่นๆบอกว่าไม่ได้หรอก อย่าทำเลย เสี่ยงหน่ะ บลาๆๆ

แล้วเชื่อที่ไหนหล่ะ ....

วันนี้ต้องขอบคุรความโง่ เพราะไม่รู้ มันเลยแสวงหา

หากวันไหนที่แน่แล้วว

ก็คงแน่นิ่งไม่ไหวติงหยุดนิ่งไร้วิญญาณ...

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

0001a : บันทึกสัจจะผู้บริหาร

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา 27 พ.ย. 2552 เป็นช่วงของวันที่ตลาดหลักทรัพย์ ได้เรียกว่าวัน opp day
ลองไปอ่านตามลิงค์นะงับ
http://www.set.or.th/oppday/

คร่าวๆของงานนี้คือวันที่นักลงทุนพบปะผู้บริหาร เปิดโอกาสให้ผู้บริหาร พรีเซ้นผลงานที่ผ่านมาและ forcast อนาคตของ บจ.ที่ผู้บริหารนั้นๆดูแลอยู่ และเป็นวันที่นักลงทุนได้โอกาสถามผู้บริหารในหลายๆประเด็น

แค่ฟังชื่องานก็ตื่นเต้นเนอะ แต่ขอโทษ ไม่ได้ไปฟังอะ 5555 เอานะๆๆๆ หยวนๆๆ วันศุกร์ทำงานนี้หว่า ไม่มีใครว่าไรเราหรอก เพราะการลงทุนเป็นเรื่องของตัวบุคคลเราไม่ไปฟังก็เสียโอกาสไปเองเหอะๆๆ

แต่ใครจะว่าหล่ะ เดี๋ยวนี้ ตลาดหลักทรัพย์ไทยเค้าพัฒนาแล้ว อัดเทปให้ฟังผ่านเน็ต โฮะๆๆ ได้ทีสี่ทุ่มเศษๆคืนวันเสาร์ก็ไปเปิดฟัง บจ. ที่ถือหุ้นอยู่ จะมาสรุปบางถ้อยคำเด่นๆเอาไว้หน่อย ว่าผู้บริหารคนนี้ จะทำได้จริงกับการวางแผนในปีหน้าไหม

ไม่อ้อมแอ้มผมถือและศึกษาหุ้น ILINK คับ
ฐานะทางการเงิน
D/E ratio = 0.25
ROA = 19.95%
ROE = 15.10 %

การเติบโตใน เก้าเดือนของปี 52
industry โต ประมาณ 10%
ILINK โต ประมาณ 20 %

ปี 52
เป้ารายได้ 1200 ล้านบาท
เป้ากำไร 110 ล้านบาท
*** ผู้บริหารบอกว่าน่าจะเกิน
มี backlog อยู่ที่ 387.94 ล้านบาท
ยอดขายส่งอยูที่ 60 ล้านบาทต่อเดือน
ยื่นประมูลไป 932 ล้านบาท

ไม่ค่อยเข้าใจคำว่า backlog เท่าไหร่ ว่าจะรับรู้ยอดอย่างไร
เข้าใจว่างานที่รับไว้แต่ยังไม่ทำมั้งนะ >< ฃอีกนิด backlog ปีนี้จะไปรับรู้ในปีหน้า

ปี53
project target

  1. submarine cable 4800 ลบ
  2. fiber 820 ลบ
  3. FTTH 300 ลบ >> FTTH - Fiber-to-the-home - fiber reaches the boundary of the living space, such as a box on the outside wall of a home ต่อไปอนาคตตัวนี้จะมา อีกหลายปีอยู่ เหมือนสายไฟเบอร์ลากเข้าบ้านเรย ><
  4. underground cable 410 ลบ
  5. substation 1354 ลบ
รวม 7684 ลบ !!! ถ้าได้ยอดนี้ ยอดขายปีหน้าก็เพิ่มมาประมาณ หกเท่า!!! เหอะๆแต่ก็เป้นโครงการที่จะเข้าประมูลอะ ยังไม่มีความชัดเจนอะไร อย่าให้ความหวังมาก ยิ่งข้อสี่กับห้าเป้นธุรกิจที่เข้ามาใหม่ เห็นผู้บริหารพูดๆเหมือนจะใช้ประสบการทาง cable เจาะตลาดมา

ปีหน้ารุกธุรกิจไปอินโดจีนแน่นอน



***************************************************************
ช่วงคำถาม
  1. งานวางสายที่ตรังมี margin อย่างไร ??? น่าจะอยู่ที่ 24% (คิดเองนะงับ)
  2. เพิ่มปันผลไหม ?? ไม่น่าเพิ่มเพราะเยอะอยู่แล้ว 40%
  3. backlog ปี 53 ตอนนี้ได้มา 400-500 แล้ว
  4. amex สินค้าที่ได้ลิขสิทธิ์เอามาขายใหม่จะขายพ่วงไปกับสายสัญญาณยี่ห้อก่อนๆๆ(ตัว amex เหมือนเป็นตัวเชื่อม)
  5. ปีหน้าบอกว่าจะโตแรงมาก (ไม่มีตัวเลข)
  6. market share 55% มากสุดในตลาด
ก็จำๆความมาได้แค่นี้

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ P/E ratio ก็ต่ำมาก น่าซื้อเพิ่มโครตๆๆๆๆ

แต่ขอดูข้อมูลเพิ่มเติมก่อนแล้วกานนะ หุๆๆ

ง่วงนอนแหละ ไปนอนดีกว่า อิอิ

ฝันดีทุกท่านจร๊า

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เริ่มต้นไงดีหว่า !?!

หลังจากเรียนจบ ปุ๊ปปั๊ป ตั้งเป้าหมายได้แหละ ว่าจะเอาไงกับชีวิตดี


ผมจะเป็นนักลงทุน เลิกทำงานประจำในสักวัน!!



ปฏิญาณตนพร้อมจารึกถ้อยคำลงไปในแผนที่ชีวิตโฮะๆ

ว่าแล้วไม่รอช้า หลังจากอบรมนักลงทุนรุ่นใหม่

เราก็ได้คำภีร์ สุดยอดมาแล้ว ว่าต้องเริ่มต้นยังไง โฮะๆๆๆ

เท่านั้นไม่พอยังพ่วง connection คนระดับบิ๊กๆเรื่องเงินทอง ที่โชกโชนในการสู้ชีวิตมาแนะนำ

หมู่เหล่าๆเพื่อนๆการเงิน การบัญชี การบินพลเรื่อน ธุรกิจ เสดสาด บลาๆๆ มาคุยแลกเปลี่ยนกัน เพียบ!!

จริงอย่างที่เค้าว่านะ หากเอาตัวเองไปอยู่ในสังคมแบบไหน เราก็จะเป็นแบบสังคมนั้น ที่นี้ไม่มีคนพูดภาษาโปรแกรมเมอร์เหมือนตอนเรียนมหาลัยเรียน มีแต่ภาษาการเงิน ROE ROA กระแสเงินสด แนวโน้มธุรกิจ
จำได้ว่า ไอวันนั้น ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ

หลังจากอบรมเสร็จ .... ความเศร้าเริ่มมาเยื่อน

คำถามแรกๆเอาไงต่อวะ ไม่มีใครสอนแหละ

เลยโทรไปหาเพื่อนโครงการด้วยกาน

และสนทนาด้วยภาษากันเองว่า เห้ยมึง กรูอยากเป้นนักลงทุนวะ เริ่มต้นไงดี ...

มันก็สวนภาษาพ่อขุนมาเหมือนกันง่ายๆๆ : เอางี้ กรูมีหนังสือแนะนำ เมิงลองไปอ่านดู เปลี่ยนความคิด ทัศนะคติตัวเอง

ว่าแล้วมันก็ให้ชื่อหนังสือมาสามสี่เล่ม

แต๊นๆๆ

ตีแตก โดย ดร.นิเวศน์


มันบอกว่า เล่มนี้ดี เพราะ เป็นการเล่าเรื่องการลงทุน แบบเข้าใจง่ายในตลาดหุ้นไทย

เล่มต่อมา...

เหนือกว่าวอลสตีท เขียนโดย ปิเตอร์ ลิน แปลโดย ดร.นิเวศน์เจ้าเก่า
เป็นหนังสือบอกหลักในการลงุทนที่ทำกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำอ่านเล่มนี้แล้วกระจ่าง!!


เล่มต่อมา

ลงทุนอย่าง ปิเตอร์ ลินช์ Beating the Street ... เล่มนี้มันบอกโครตเทพมาก อ่านแล้วโครตกระจ่างจับหลักได้เลย



นอกจากนี้มันก็ยังแนะนำหนังสือที่อ่านเกี่ยวกับงบการเงินอีกสองเล่ม
คือ

อ่านงบการเงินให้เป็น ของคุณ อาพร เอกอรรถพร และอีกเล่ม
รู้บัญชีมีประโยชน์ ของคนเขียนเดียวกัน


เพื่อนปอคนนี้มันแนะนำได้ดีมากๆเลยอะ มันบอกว่าการจะเป็นนักลงทุนที่ดีนั้น
เราจำเป็นต้องอ่านงบการเงินให้เป็นแล้วก้มีหลักการลงทุนที่เป็นของตัวเองในการเอาชนะตลาด
การอ่านหนังสือเยอะๆช่วยให้เราเห็นความคิดของคนที่ประสบความสำเร็จ
เป็นการร่นระยะทางของตัวเองด้วย

ว่าแล้วหลังจากวางสายกับมัน

อาการของคนงานหนักเริ่มก่อตัวไหวๆ
ตอนเรียนปริญญาก่อนสอบยังไม่แตะหนังสือเลย
แล้วนี้จะรอดไหมวะ

!!@@#@#%$#@%

แอบเศร้าอยู่ในใจเล็กน้อย

ว่าแล้วไม่กี่วันหลังจากนั้นก็ไปซื้อหนังสือมาอ่าน

อืมมันเยียมมาก ความคิดอะไรๆก็เปลี่ยนไปเยอะเลย

และจนทุกวันนี้เวลาสับสนกับความคิดในการเลือกหุ้นก็จะหยิบหนังสือเหล่านี้มาอ่าน
เป็นการย้ำจุดยืนของตัวเอง เป้าหมาย ความตั้งใจของตัวเองไปในตัว

สุดท้ายเมื่อได้หลักแล้ว เปรียบเสมือนเราหาก้านเองได้ และสร้างก้าน แขนงของความรู้แผ่ไปได้ตัวเองได้

ก็ขอขอบคุณ เพื่อนดีๆ โอกาสดีๆ และหนังสือดีๆอีกครั้งที่ทำให้ผมมีวันนี้^^ อาจจะยังไม่เรียกว่าสำเร็จ แต่ก็กำลังเดินทางอย่างตั้งใจ เห็นอนาคตลางๆๆ พอทำมันได้

และนี้คือกองหนังสือที่เป็นผลมาจากการต่อกิ่งก้านของความรู้


จากเด็กที่ไม่เคยคิดจะอ่านตำราให้มากมาย ก็เปลี่ยนเป็นอีกคนได้ เพราะมีเป้าหมายชันเจน

วันนี้ อยากจะอ้างคำพูดของไอด้อลของผมคนนึง ท่านนายกอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ

ท่านเป็นคนที่สง่าในสายตาผมมาก

ท่านกล่าวกับตัวเองก่อนที่จะเดินทางสายการเมืองเอาไว้ว่า

ค้นพบตัวเองก่อน เริ่มต้นก่อนได้เปรียบ

และวันนี้ผมก็ทำตามความคิดของท่านในการสร้างสรรค์ชีวิตตัวเองเหมือนกัน

ขอบคุรครับ ทุกๆโอกาสที่มอบให้ผม

ชีวิตนี้คือความสนุกสนานที่ได้เรียนรู้^^

ว่าแต่เขียนมาสองบล็อคแหละ ยังไม่ใกล้เรื่องหุ้นเลย

รอบหน้าๆจะโยงให้เกี่ยวแล้วน๊า อิอิ^^

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประเจิมม อยากจะเก็บประวัติศาสตร์ของตัวเองสักครั้ง^^

วันที่สิบสองพฤศจิกายนสองพันห้าร้อยห้าสิบสองตีหนึ่งเห็นจะได้ จริงๆแล้วพรุ่งนี้เป็นวันทำงานแต่ติดธุระปะปังกะว่า พรุ่งนี้เช้าจะโทรไปลาหัวหน้า ^^

คงได้ฤกดิ๋ดีๆเต็มแก่ อารมณืกำลังพุ่งถึงจุดได้ใจอยากจะขีดจะเขียนชีวิตตัวเองซะเหลือเกินน

ก็นั้นแหละนะ เผื่อว่าพรุ่งนี้อีกหน่อยเป็นใหญ่เป็นโต โอ้ว้าว ได้เอาประวัติเองลงขายกับเค้าบ้าง ^^!!

คงจะเก๋ไก๋ไม่เบา แอบเห็นตัวเองมีแฟนคลับล้อมหน้าโอมหลังง ฮิ้วๆๆ คงได้ใจตัวเองมากหล่ะ

เอาหล่ะๆๆ พล่ามมามากเกินไปแหละ

วันนี้บล็อคแรก ขอหน่อยหล่ะกานไม่ขาดไม่เกิด

อัตถชีวิตของไอปอฮับได้บันทึกการเดินทางสักที



ความฝัน ใฝ่ฝัน มุ่งมั่น ทุ่มเท

"แม่ปอไม่เรียนต่อมหาลัยได้ป่าว อยากทำงานอะ >< " สิ้นเสียงใสๆของผมแม่ก็ด่าเปิงกลับมา

"แล้วจะทำมาหากินอะไร??" เออนะน้ำเสียงปนโกรธนิดๆๆ

"ไม่รู้ แต่ไม่อยากเรียน.." >< ก็นั้นแหละ ด้วยความเป็นลูกคนเดียว อยากลองทำไรก็พูดเลย(กับแม่คนเดียว ^^)

วันนั้นคงเป็นครั้งแรกที่ทิ้งไว้ซึ่งความงงงวย เออ เราจะทำงานไรวะ ??? ไม่นานหลังจากนั้นช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังจะขึ้นมหาลัยพอดี ด้วยบุญเก่าก่อนตั้งแต่มัธยมทำไว้เยอะ ช่วงนั้นสอบติดการกุศลมากหน่อยก็เลยติดโควต้ามหาลัยเกษตร วิทยาคอมพิวเตอร์ โดยคะแนนขาดอีกห้าสิบหกสิบคะแนนเห็นจะได้ เอานะ กรูโม้ได้หล่ะวะ เอนติด!!! เกษตร เท่นะเมิงงง

ก็หลงชื่อสถาบันอยู่พักนึง อารมณ์ว่าทับเพื่อนได้ 555 ช่วงมหาลัยนี้ เป็นอะไรที่สนุกมากๆๆ แบบว่านะ เคยแบบฟังเพ่ที่จบไปก่อนแล้วออกไปทำงานแล้วกลับมาพูดแนะนำๆๆ บลาๆ บอกว่า ตอนเรียนอะสนุกให้เต็มที่นะน้องๆๆ ทำงานแล้วมันก็จะเป็นอีกเรื่องนึงง ก็เพิ่งจะมาสำนึกได้ว่า ทำงานแล้ววไม่มีปิดเทอมม เศร้าใจเล็กน้อย 555


ย้อนกลับมาในรั้ว มก. ก่อนดีกว่า ด้วยความเป็นเด็กที่ติดมา ด้วยบุญเก่าอันล้นเหลือ พอมาเจอเพื่อนๆที่เอนต์มาได้ เอาหล่ะงานเข้าแล้ว!! จากเด็กเรียนดีมากบุญบารมีสมัยมัธยมมาเป็นเด็กท้ายห้องมะค่อยชอบเรียนเท่าไหร่ แถมบ้ากิจกรรมอีกต่างหาก เกรดเทอมแรกในรั้วมหาลัยยยยยยยยยยย แต๊นแต๊นนนนนนนนน สองต้น!! สวยไหมหล่ะ !! และตั้งแต่นับจากนั้น ผมก็ไม่เคยบอกเกรดแม่อีกเลยยยยยยยยย แต่อย่าคิดว่าผมจะสลดนะ 55 ป่าวเลย กลับยังครึกครื้นอยู๋ได้ทุกๆวัน คิดในใจว่าเอาวะ ไม่ตกก็พออ เกรดก็ประมาณนี้ขึ้นลงตามวิชาที่ชอบมากกว่าจะตั้งใจทำให้มันดีๆ อันไหนชอบก็ตั้งใจมากหน่อย อันไหนไม่ชอบ คาบมีนพอจร๊า จนแล้วจนรอด ก็รอดจนได้ บทเรียนลึกลับอันนึงของเด็กไม่ตั้งใจเรียนคือความสามารถแฝงในการเอาตัวรอดสูง

ด้วยเหตุหนอันใดก็แล้วแต่ สุดท้ายผมก็รอดจบปีสี่แบบไม่ขอบวกเวลาเรียนเพิ่ม ด้วยเกรด เฉลี่ยคงเส้นคงวา 2.17 !!! บาดใจไหมหล่ะ 555 ในระหว่างเป็นเด็กเรียนที่อยู่ท้ายห้อง นอกจากจะหลับเป็นปกติแล้วยังชอบเฟ้อฝันเป็นประจำ บ่อยๆเลย ฝันว่าจะเป็นแฟนคนนู้นนั้นนี้ จีบติดบ้างไม่ติดบ้าง บลาๆ ปนไปเรื่อย และนอกเหนือไปกว่านั้น คือความฝันของอนาคตตัวเอง....

ความจริง ความหวัง และความฝัน


ตอนเด็กๆผมอยากเป็นคนขับรถไฟ โตขึ้นมาหน่อยอยากเป็นหมอ มาอีกนิด เป็นนักวิทยาศาสตร์ และสุดท้ายยเป็นโปรแกรมเมอร์ >< ทุกคนคงมีความฝันเป็นของตัวเอง เพียงหลับตานึกถึง หล่ะจะไม่อยากตื่นเลย ประมาณนั้น ผมก็เป็นคนนึงที่มักจะอยู่ในภวังค์ที่เลื่อนลอยบ่อยๆ ชอบฝัน พูดมากกว่าทำ เราจะเป็นนู้นเป็นนี้เป็นนั้น สารพัด ก็เป็นอะไรที่เรื่อยเปื่อยย
แต่ชีวิตคนเรามันก็มีมุมของตัวมันเองนะ คุณว่าไหม ผมก็เจอมุมของผมในระหว่างเรียนนี้แหละ >>> หนังสือ เป็นหนังสือเล่มนึงชื่อว่าพ่อรวยสอนลูก ช่วงนั้นจำได้ว่าแห้วจากใครสักคน เลยเบื่อเซ็งและได้เห็นหนังสือเล่มนึง ก็หยิบมาอ่าน มันเป็นอะไรที่พลิกชีวิตตัวเองไปเยอะเลยทีเดียว หนังสือเล่มนี้เป็นแนวคิดที่จะสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองโดยไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร ก็อ่านๆๆๆ ไป ท้ายที่สุดก็อยู่ในภวังค์มากกว่าเดิม เคยเป็นมะ คิดว่าตัวเองรวยแล้วอะ 5555 หลงๆหลอกๆรั่วๆ ยังไงยังงั้นเลย

นั้นหล่ะเป็นมุมแรกของผมซึ่งถ้ามีแต่มุมนี้มุมเดียวผมคงยังไม่เป็นผู้เป็นคนได้ในตอนนี้

จนเจอมุมอีกมุมนึง

ครูผู้ประสิทประสาทวิชาให้แก่เรา
ท่านชื่ออาจารย์พบสิทธิ์ เป็นอาจารย์สอนคอมพิวเตอร์ที่ออกแนวเถ่าแก่นิดๆ(มีธุรกิจส่วนตัว ขอเรียกสั้นๆว่าจารย์แล้วกันนะงับ)

เป็นเพราะโชคอีกครั้งนึง ที่ทำให้ผมกับจารย์ได้สนิทกันมากและมีเพื่อนผมอีกสองสามคนก็สนิทกับจารย์ด้วย ช่วงนั้นเป็นช่วงกำลังจบปีสามซึ่งต้องหาที่ฝึกงาน ก็หาๆๆ ตามประสาคนต้องหัดทำงาน ก็ไม่คิดไรมากอะ หาให้ได้ก็พอเพราะเราก็เป็นท้ายห้อง มีงานให้ทำก็ดีถมไปแล้ว 5555 และในระหว่างที่กำลังประชุมกับจารย์ในช่วงคุยเล่น

จารย์ได้สอนปฐมบทที่เปลี่ยนชีวิตผมและเพื่อนผมไปกาลทุกอย่างเริ่มต้นง่ายๆด้วยคำว่าจความจริงความฝันต่างกันอย่างไร???

ไอเราได้ยินอย่างนั้น ก็ตอบได้อย่างฉะฉานว่า "ความจริงก็คือสิ่งที่เราเป็นอยู่ส่วนความฝันคือสิ่งที่เราอย่างเป็นน"

"จารย์ยิ้มสักพักแล้วบอกว่า "ก็ถูกแต่ไม่ทั้งหมด" เพื่อนผมตอบจารย์ว่าอย่างนั้น

"ก็ไม่ถูกทั้งหมด จริงๆแล้วเส้นนี้คือเส้นของความหวังเส้นของความพยายามเส้นของความตั้งใจเส้นของวิธีการที่จะไปให้ถึงความฝัน" ผมจบปริญาตรีก็วันนี้แหละ สิ่งที่หามานาน

ใครอาจจะไม่ตื่นเต้นเท่าผมก็ได้ แต่อยากจะขอบคุณจารย์อีกครั้งนึงว่า จารย์ได้เปลี่ยนชีวิตของนิสิตที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนคนนึง ให้เป็นคนที่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่จุดไหนและต้องการไปยังจุดใด

และแล้วผมก็งงไปชั่วครู่จนจารย์เผยยิ้มนิดๆ แะพูดต่อไปว่า

"เธอลองนึกถึงจุดสองจุด จุดสองจุดนี้ อยู่ห่างกัน " จารย์พูดให้เรานึกตาม
"จากนั้นให้จุดแรกคือจุดที่เจอยืนอยู่...จุดนี้คือสิ่งที่เราเป็นจุดนี้คือความจริง"
"จุดที่สองคือจุดที่เราต้องการจะเป็น"
"จากนั้นให้เธอลากเส้นตรงระหว่างจุดทั้งสอง"

"แล้วเธอรู้ไหม เส้นตรงที่ว่านี้เรียกว่าอะไร ???" สิ้นเสียงคำถามปนรอยยิ้มนิดๆๆ พร้อมหน้างงๆของเหล่าศิษย์

"ความพยายามมั้งคับ" เพื่อนข้างๆผมตอบ

ไม่นานนักจารย์ก็ได้พูดออกมา

"แท้จริงแล้วเส้นี้คือเส้นของความหวัง เส้นของความพยายาม เส้นของความมุ่งมั่นที่จะไปจุดมุ่งหมายนั้น เส้นที่ทำให้ฝันของเราเกิดขึ้นได้สัมผัสได้"

ไม่ว่าจะนิยามด้วยคำอย่างไรก็แล้วแต่ผมเข้าใจความหมายของจุดสองจุดและเส้นเหล่านี้ดี ตั้งแต่วันนั้นถึงจะยังเรียนไม่ได้เรื่องจนจบปีสี่แต่ผมก็ได้วิชาที่มีค่านี้ออกมาในการทำงานพร้อมสร้างความฝันบนโลกแห่งความจริง ขอขอบคุณอาจารย์อีกครั้งครับ

และภาพต่อไปนี้คือจุดสองจุดและเส้นของความหวังของผมครับ ไม่ตรงตำราที่จารย์ว่าไว้สักทีเดียวแต่ผมกำลังทำมันเรื่อยๆครับ



และอีกภาพเป็นภาพความฝันที่ทำให้ผมได้รับรางวัลด้วย




อีกไม่นานครับ ความฝันของผมก็จะเป็นจริง

ขอบคุณครับ^^

ทุกๆคนที่ทำให้ผมมีวันนี้