?สังขารนั้นเป็นของไม่ยั่งยืน...ความตายเป็นของยั่งยืน?
สิ้น เสียงเจ้าอาวาสเทศนา ในบ่ายอ่อนๆของวันอาทิตย์ ณ วัดที่มีลานธรรมอยู่กลางกลุ่มต้นไม้หนาแน่นในวัดชลประทาน ผมกับแม่ไม่ค่อยจะไปวัดกันสักเท่าไหร่ แต่วันนั้นแม่ผมมีเรื่องไม่สบายใจ...สอบถามท่านไปคำสองคำแม่บอกผมว่า เมื่อคืนฝันไม่ดีเลยอยากมาวัด.....หลังจากกลับจากวัดแม่ผมก็ยิ้มได้มากขึ้น ก็ดีใจนะ ได้แต่ปลอบๆไปว่า ?เป็นแค่ฝันนะแม่^^?
หลังจากกลับถึงบ้าน นอนเล่นและคิดอะไรนิดหน่อย ประโยคข้างต้นก็ดังก้องในสมองของผมนานหลายวันอยู่พอควร จึงมาเป็นเรื่องเล่าในวันนี้...
หากสังขารเป็นของไม่ยั่งยืน...และท้ายที่สุดทุกคนก็ต้องเดินสู่ทางดับ...มันก็ไม่น่าต้องกลัวตายเลย แน่นอน ชีวิตนี้ผมอาจมีรถได้หลายคัน แต่ผมก็ตายได้ครั้งเดียว....แฟนผมอาจจะมากมายหลายน่าตาแต่ผมก็เดี้ยงได้ครั้งเดียว...
มีเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม สองสามเรื่อง และมันเร็วมาก...
เพื่อนผม ที่ได้รู้จักกันในตอนอบรมเค้าเป็นคนที่น่าคบหาอย่างมาก เป็นเพื่อนที่เสียสละ และมีน้ำใจ หลังจากการอบรมได้ไม่นาน เค้าและครอบครัวได้ไปเที่ยว ญี่ปุ่น..
และเมื่อกลับมาประเทศไทย น็อตเพื่อนผมได้ล่มป่วยลง และได้เข้ารักษาตัวเองที่ โรงพยาบาล ด้วยโรคที่ไม่ใคร่จะเป็นกันง่ายๆ หมอได้ตรวจพบเนื้องอกในช่องอก ซึ่งมันไม่ใช่เนื้อดีหรือร้ายเท่าไหร่หากแต่ว่ามันเป็นอุปสรรคต่อการหายใจ... สองสามวันต่อมา ผมก็ได้ไปเยี่ยมเค้าที่โรงบาล คุณแม่ของเค้ามีสีหน้าที่มีกำลังใจว่าลูกชายกำลังจะหายและมีอาการดีวันดีคืน วันนั้นผมได้เข้าไปเยี่ยมเค้าในห้อง ICU พบ ว่าคุณหมอกำลังดูดเสมหะออกจากลำคอและมีเลือดปะปนออกมาเป็นจำนวนมาก มือทั้งสองข้างของเพื่อนผมกำแน่นเกร็งตัวงอ ดูแล้วก็รู้ว่าเจ็บมาก แต่แววตาของเค้าไม่เคยลดละว่า พรุ่งนี้....ต้องมีชีวิตต่อไป...
ก่อนที่จะกลับบผมได้ให้กำลังใจคุณแม่เค้าและเขียนข้อความให้กำลังใจเล็กๆน้อยๆในสมุดเยี่ยมของเค้าที่คุณแม่เอามาให้เขียน ก่อนกลับแม่เค้าได้บอกผมว่า ถ้าน็อตหายแล้วจะเอาให้อ่านนะ ขอบใจนะลูก.............น่าเสียดายที่เพื่อนผมไม่ได้อ่านข้อความกำลังใจเหล่านั้น..สองสามวันต่อมา เค้าก็ได้จากไปอย่างสงบไม่มีลางบอกเหตุ ไม่มีใครคาดคิด....
*************************************
เรื่องต่อมา เป็นเรื่องของรุ่นพี่ของผมเอง พี่ของผมคนนี้ชื่อมิ้น เป็นพี่ที่เรียนเก่งมาก เกียรตินิยม ใจดีและเป็นกันเอง นอกจากนั้นพี่มิ้นยังกุมความลับของผมไว้มากมาย (เรื่องแย่ๆทั้งนั้นด้วย) พี่มิ้นเป็นคนที่มีโรคประจำตัวมาตั้งแต่เด็ก เป็นโรค SLE (โรคพุ่มพวง) มาตั้งแต่อายุ 11 ขวบ และคุณหมอบอกว่าอยู่ได้ไม่เกินห้าปี....แต่ในปี พ.ศ2550 พี่มิ้นก็จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และห้าปีที่คุณหมอเคยบอกไว้ ก็ไม่เคยมาถึงสำหรับพี่มิ้นคนนี้
ผมเป็นรุ่นน้องพี่เค้าหนึ่งปี เวลาเรียนหนังสือหรือทำงานร่วมกันผมเห็นพี่มิ้นจริงจังมาก พี่เค้าจะตั้งใจทำจนสำเร็จ มีอยู่ครั้งนึงที่พี่มิ้นลงเรียนวิชากับพี่ที่แก่กว่านึงปีแล้วโดนแซวว่าไม่ ไหวก็ดรอบนะน้อง...กลับกลายเป็นว่าพี่มิ้นสอบได้ด้วยคะแนนท็อปที่สุด เล่นเอาพี่ๆปากเสียเงียบฉี่กันเป็นทิวแถว...อาจจะเพราะด้วยแรงกดดันที่ตัวเองมี เพดานของการใช้ชีวิตจำกัด จึงทำให้ทุกๆวันของพี่มิ้นมีความหมายมากกว่าคนอื่น ตอนแรกผมไม่รู้ว่าว่าไมพี่ช้านเก่งจังหนังสือหนังหาก็ไม่อ่านสักเท่าไหร่ แต่จะเห็นพี่เค้าตั้งใจทำงาน ตั้งใจเรียน ตั้งใจๆๆๆๆ ราวกับว่าถ้ากลับมาทำซ้ำมันจะเสียเวลา...
และเมื่อสามสัปดาห์ที่ผ่านมาพี่ของผมก็ได้จากไปอย่างสงบ...ด้วยการติดเชื้ออยากฉับพลัน...และแน่นอนไม่มีลางบอกเหตุ...เป็นเวลา 14 ปีหลังจากที่พี่มิ้นเป็นโรคร้าย เป็นเวลาเก้าปีที่หมอทำนายผิด......
***********************************************
เรื่องต่อไปเป็นเรื่องของรุ่นน้องผมมชื่อน้องซายน์ คุณแม่เค้าพาน้องไปหาหมอดู และหมอดูบอกว่า ปีหน้าน้องเค้าจะตาย ไม่มีใครเชื่อหมอดูง่ายๆว่าแล้วแม่เค้าก็พาน้องไปหาหมอดูอีกหลายๆที่และทัก ในลักษณะเดียวกัน...
หลังจากพูดคุยกับน้องสักพักนึง น้องได้เล่าว่า แรกๆก็ทำใจไม่ได้ มีใครบ้างที่อยากมีเพดานหมดอายุของตัวเอง มีใครบ้างที่อยากจะคิดถึงวันนั้น แต่แล้วความสิ้นหวังผลักดันเป็นแรงบันดาลใจจ และปัจจุบันนี้ทุกๆวันของน้องซายน์เป็นวันที่สนุกสนานและเต็มที่กับชีวิต เป็นอันมาก มันอาจจะเป็ฯความสุขในแบบวัยรุ่น แต่อย่างน้อยชีวิตของน้องซายน์ก็อยู่ในวันนี้ หาคิดถึงวันพรุ่งนี้ไม่!! และวันนี้น้องของผมก็ยังมีชีวิตที่มีสีสันอยู่และผมหวังว่าน้องเค้าจะมีความสุขตลอดไป...พร้อมกับปลอบใจไปว่า ไม่ตายหรอกไอน้อง แต่อย่าประมาทนะ ^^
วันนี้ใน มือถือผม มีเบอร์ที่โทรไปไม่มีใครรับตลอดกาลอยู่สองหมายเลข
วันนี้ใน MSNผม มีเมล์ที่จะไม่ online ตลอดกาลอยู่สองรายชื่อ
วันนี้ใน Hi5 จะไม่มีเจ้าของบล็อคมาเขียนข้อความเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่สอง user
ทิ้งไว้แต่วีรกรรม ทิ้งไว้แต่ความผูกพันธ์ในวันเก่า ทิ้งไว้ในความสวยงามที่เคยร่วมใช้ชีวิตกันมา.......
ที่เขียนมานี้ไม่ได้ต้องการให้หดหู่ อ่านแล้วเศร้าหมอง หากทุกคนจำต้องหมดอายุกันถ้วนหน้า แล้วจะกลัวทำไมกับการหมดอายุ
แรงบันดาลใจเล็กๆจากบุคคลรู้จักทั้งสามคนนี้ได้สอนอะไรผมหลายอย่าง แววตาของเค้ามุ่งมั่นอย่างแรงกล้า สำหรับพวกเค้าแล้ว ไม่มีคำว่าวันพรุ่งนี้.... หากเมื่อตะวันโผล่ขึ้นฟ้ามันเป็นของขวัญชิ้นงามจากสวรรค์ที่ทำให้เค้าใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ทุกครั้งไป และเมื่อตะวันลับขอบฟ้าผมก็เชื่อว่าในวันนี้ เค้าก็ได้ทำอะไรที่เต็มที่กับชีวิตแล้วจริงๆ
ในทางศาสนา ก็มีการฝึกสมาธิกับความตายเหมือนกัน (จำชื่อไม่ได้ และไม่รู้หลักปฏิบัติ)
หากทบทวนตัวเองแล้วหลายครั้งหลายครา เวลาของผมมักปล่อยไหลผ่านแบบน้ำท่อแตกก็มี
และหลายครั้งหลายคราก็ทุ่มเทกะมันจนจำติดใจ วันนี้ยังมีทางให้เดินอีกยาวไกล
วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง นอนแปดชั่วโมง ทำงานแปดชั่วโมง ลั้นล๊าสองสามชั่วโมง ทำวันนี้เพื่อสร้างสรรค์สิ่งสวยงามในวันข้างหน้าอีกสี่ห้าชั่วโมง แต่ในทุกๆชั่วโมงมักจะมีตัวขี้เกียจมาฉุดร่ำอยู่ร่ำไป.... บิดมันออกมา เอาออกมา ออกไป๊!!! จะได้เต็มที่กะมันน มีเรื่องราวอีกร้อยแปดพันเก้าที่ยังไม่ได้ทำเลยยยย
ยังหาลูกสะใภ้ให้แม่ไม่ได้เลย (รอแปปนะแม่ โฮะๆๆ)
จีบเธอยังมะติดเลย
ความฝันยังทำไม่สำเร็จเลย
นู้นนี้นั้นก็เหลืออีกเยอะ
หากมองมือทั้งสองข้างเหมือนอนาคตของเรา ขาทั้งสองข้างเป็นปัจจุบันของเรา การใช้มือไขว่ขว้าหาอนาคตของเราโดยขาได้ไม่ได้ขยับไปไหน แล้วเราจะวิ่งถึงความฝันของเราได้เหรอ มันก็เหมือนอยู่ที่วันนี้แล้วนั่งฝันถึงพรุ่งนี้
ขาและแขนจำเป็นต้องไปด้วยกันฉันใดการลงมือทำวันนี้ให้เต็มที่ ขว้าไขว่ฝันในวันหน้ามันก็ต้องคู่กันฉันนั้นหล่ะนาา เมื่อถึงวันนหน้าเราก็จะไม่เสียใจเสียดายการกระทำในวันนนี้เลย ก็เมื่อเราเต็มที่แล้วนี้ เจรงม๊า
?ศรัทธามักสร้างปาฏิหาร โชคชะตามักเข้าข้างคนที่ลงมือทำ?
?ทำวันนี้ในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ แล้วพรุ่งนี้เราจะเป็นในสิ่งที่คนอื่นเป็นไม่ได้? (ยืมมาจากไหนแล้วจำไม่ได้) ก็ นี้เป็นแรงบันดาลใจเล็กๆที่เวลาหมดแรงก็นึกถึงให้พอตะกุยตะกายทำมันไปได้ อาจจะไม่ได้ตั้งใจสักเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้นอกลู่นอกทางสักทีเดียว ก็ทำไปเรื่อยๆๆ ค่อยๆสะสม ^^ และยิ้มสนุกสนานกับมัน ^^
เพดานหมดอายุได้กำหนดขึ้นแล้วสิ ตั้งแต่เกิดแล้วว..ก็คงเป็นสักวันนึงหน่ะ!!
เอาหล่ะวันนี้ผมจะเต็มที่กับชีวิตสักที....^^
แล้วคุณหล่ะเต็มที่กับชีวิตหรือยัง??? จะจ๊า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น