วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

งานประจำ ที่แสนจะมั่นคง ^^




บนพื้นดินที่แห้งแล้งแผดเผาไปด้วยเปลวไฟแห่งแสงแดด ฝูงแกะจำนวนไม่น้อยต่างดิ้นรนยื้อแย่งหาร่มเงาของต้นไม้ที่มีเพียงน้อยนิดบนพื้นทะเล ทรายแห่งนี้ ทั้งเบียดเสียดแออัดยัดเยียดดก็น่าแปลกประหลาดใจไม่น้อย หากมันคิดได้ว่าการไปแย่งๆกันอัดๆแบบนั้นคงจะร้อนกว่าก็เป็นได้...

ทว่า นั้นไง !!! มีแกะตัวนึง นอนลั้นล๊าอยู่กลางแดดด สงสัยมันก็คงเอือมระอากับการยื้อแย่งเทือกๆนั้นนกระมัง ^^


ชีวิต งานประจำคุณเป็นอย่างนี้เหรอเปล่า ?? มันคือที่พึ่งสุดท้ายหรือเปล่า ??หล่ะหากว่าต้นไม้ต้นนั้นที่คุณใช้ทั้งชีวิตเพื่อมัน เกิดล้มหายตายจาก เกิดอยู่ๆมีคนมาแย่งที่ร่มเงาของคุณ คุณจะทำอย่างไร ??

ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก อย่างน้อยก็สั้นมากพอที่ควรเสียเวลาน้อยๆกับต้นไม้เพียงต้นเดียว
ถ้าเปรียบชีวิตเหมือนรูบิค ที่เราหมุนๆวนๆ จนทุกๆด้านสลับสับสนไปด้วยสีต่างๆมากมาย

งานคือด้านนึง
ครอบครัวคือด้านนึง
สุขภาพคือด้านนึง
คนรักคือด้านนึง
ประเทศคือด้านนึง
บลาๆแล้วแต่จะนิยามด้านของแต่ละคนคงเพี้ยนๆไม่เหมือนกัน

การที่เราบิดรูบิคที่ปะปนไปด้วยสีที่ยุ่งเหยิงให้เข้ารูปเข้ารอยด้วยสีเพียงสีเดียวววว
เจ๋งมาก!! (ผมยังบิดรูบิคให้ได้ด้านเดียวสีเดียวยังไม่ได้เลย 55)

ทว่าวันนึง โอ้ววโหวววคุณไต่เต้าในหน้าที่การงานเปรียบเหมือนหมุนด้านนึงของรูบิคให้เรียบด้วยสีเดียว
แหมมันเท่ห์จริงๆๆ !!~

แต่ก็คงไร้ความหมายถ้าสุขภาพคุณแบบว่า เอ่อจะไปแล้วว ครอบครัวไม่ยิ้มให้กัน เอาเปรียบเพื่อนๆ บลาๆๆ
ยาก ไม่น้อยที่เราจะจัดระเบียบด้านทุกด้านไปด้วยเฉดสีเพียงเฉดสีเดียว มันยาก มันโครตๆๆ แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ไม่ลองดูสักตั้งงงหล่ะ ??

สมัยจอมพลปูปลาอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ มันจะมีสโลกแกนที่ว่า งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข รุ่นไหนแล้วก็ไม่รู้

แต่ การที่มีเงินมากๆๆ จริงๆแล้วมันสุขเหรอป่าวว หากเงินมากๆแต่ต้องแลกทุกๆด้านของชีวิตไต่เต้าถึงจุดสุดยอดดดดด แต่อยู๋ตัวคนเดียวว มันจะ happy จริงๆเหรอ

อันนี้ก็คงเป็นมุมมองเล็กๆ ของแต่ละคนบนดาวเคราะห์ดวงที่สามมมมที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางงง

บางวันคุณอาจเจอความท้าทายแบบนี้จากหัวหน้างาน
น้องๆ เพ่หัวหน้าขอวันนี้นะ !!



"ชิหายหล่ะ เย็นนี้นัดเดทกับสาวกินข้าวกับลูกเมีย จะทำไงดีหล่ะ ??"
คุณอาจจะอุทานในใจเบาๆพอให้เจ้านายไม่ได้ยินแล้วอาจต้องทำงานนั้นต่อไป..

และอาจจะท้าทายกว่าจากการประกาศของนายจ้าง

"อ่าเอ่อ สวัสดี พนักงานที่รัก เนื่องจาก ผลประกอบการของบริษัทเรา อ่า เอ่อออ ขาดทุน จำต้องปลดพนักงานนน"

เอาแล้วงัย!!~ ต้นไม้กิ่งหัก ก็คงมีที่พักให้เหล่าแกะน้อย น้อยลงไปอีก...................




คงโทษใครไม่ได้ เมื่อประเทศเราอ้าแขนรับระบอบทุนนิยมมาเต็มเปา การป่าวประกาศด่าทอให้เปลี่ยนนู้นนี้นั้น คงยากกว่าเปลี่ยนตัวเองเยอะนัก

สิงคโปร์ คงเป็นตัวอย่างที่พอนึกออก ประเทศเพ่เค้าส่งเสริมอยู่เรื่องนึงคือ "การออม" ประมาณ 40% ของรายได้ประชาชน ที่รัฐบาลและประชาชนช่วยกันออมแล้วขนเงินตรงนี้ไปลงทุนมากมายไว้ในหลายๆ ประเทศ คนไทยก็คงคุ้นๆกับกองทุนเทมาเส็ก นั้นแหละ นโยบายประเทศมัน...แล้วมันก็ขนเงินที่ได้จากการลงทุนพวกปันผลไรงี้กลับประ เทศมัน จนบ้านมันมีนู้นนี้นั้นสร้างนู้นนั้นนี้ได้เต็มบ้านเต็มเมือง
คุณภาพชีวิตก็ดีกว่า อะไรๆก็ดีกว่า ต้องยอมรับว่าวิสัยทัศผู้นำบ้านมันสุดยอดจริงๆๆ

จีนนี้ยิ่งแล้วใหญ่เลยเก็บออมเก่งจนอเมกาเป็นหนี้เหนาะๆ แปดร้อยล้านล้านเหรียญ...

เอาหล่ะ หากเราไม่ใช่ผู้นำประเทศ ก็อย่าน้อยใจไปเลยยยที่เปลี่ยนนูนนี้นั้นไม่ได้
รั้วหลังบ้านเรายังมีก็ค่อยๆปลูกต้นไม้สักต้นนน ไว้ให้เป็นร่มเงาอีกต้นก็ได้..
การออม เป็นการสร้างวินัยสุดคลาสสิคที่ทำได้ยากมาก (ถ้าคนไม่เคยนะ) แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพสหกรณ์ที่แต่ละบริษัทก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่ส่งเสริมการออมให้พนักงานเงินเดือนที่เงินมักจะเดือดๆระเหยไปบ่อยๆๆ
ในวันนี้ยังมีต้นไม้ให้ร่มเงาอีกตั้งหลายต้นเยอะแยะบานเบอะ
ก็ลองมองๆหากับสิ่งที่เหมาะกับตัวเราดูนะค๊าบบบบ ^^ ยู้วฮู้วๆๆๆ


แล้ววันนึงคุณก็ต้องแก่แบบนี้มันเป็นสิ่งที่ชัวร์ไว้ว่าคุณจะดึงหน้ายันตาไว้แค่ไหนก็ต้องแก่



แล้วสิ่งที่คุณได้หักเก็บไว้ในตอนที่คุณมีแรงมันจะสร้างชีวิตดีๆของคุณในบั้นปลายยยยย
คุณจะ happy โย่วๆๆ ได้อย่างมีความสุข เกษียญตัวเองโดยไม่ต้องเป็นภาระใคร ^^


จนวันนึงก็ตะโกนบอกท้องฟ้าดังๆๆ ว่า HAPPY!!! แด่อิสรภาพพพพ ประมาณนั้น ^^

วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553

มนุษย์ที่หัดเดิน ก้าวเล็กๆบนเส้นทางที่เลือกเอง..

นั่งมองคีย์บอร์ด..
มองไปเรื่อยเปื่อย ในหัวก็คิดไปหลายๆเรื่อง ความคิดมันมาเร็วไปเร็ว... เหมือนที่เพื่อนเคยแขวะผมไว้เลย ว่าผมเป็นพวกสมาธิสั้น..
นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่ทุกๆวัน หลังเลิกงาน กลับมาบ้าน ทานข้าว คุยกับแม่ นิดหน่อยๆ
แล้วมานั่งจุมปุ๊กหน้าโน้ตบุ๊คตัวเก่ง .. เปิดเพลงที่โหลดฟรีๆมาจากเน็ตตต โลกนี้ก็แปลกเนอะ ไม่ยุติธรรมเท่าไหร่เลย
เค้านั่งแต่งนั่งร้องเพลงมาตั้งนานสองนาน เราต่อเน็ตแปปเดียว โหลด ด้วยความเร็วหกเมกๆที่โฆษณากัน ไม่ถึงสองนาที สินค้าลิขสิทธิ์ก็ถูกละเมิดไปเรียบร้อยแล้ว

มันไม่ยุติธรรมจริงๆ
แต่มันสบายกระเป๋าเรา
ใครกันนะที่บอกว่าไม่ยุติธรรม กฏหมาย ?? สำนึกรับผิดชอบชั่วดี ?? การแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างกันและกัน ??
อย่ากระนั้นเลยยยย สิ่งเล็กๆ เช่นนี้ที่ผมละเมิดอยู่เป้นนิดชิมอยู่หน่อยๆ มันก็กลายเป็นนิสัยที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ??
อ้างไปอ้างมา มีเพื่อนฝูงร่วมวงร่วมแชร์
เสียงดังมาแต่ไกล "ใครๆก็ทำกัน ไม่ผิดหรอก พวกบริษัทรวยจะตาย สักเล็กน้อยนิดหน่อยย"
ก็แปลกเนอะ.. เราเป็นพวกเค้าโดยปริยายยย

ก็มีเพื่อนที่เป็นตากล้อง เป็นช่างถ่ายภาพ..
พอมันถ่ายภาพเสร็จมันก็มาปั้มโน้นนี้ลงในภาพ แล้วบันทึกทึกทักว่ามันถ่าย
ผมถามว่าทำไปปทำไม
มันบอกว่า "เดี๋ยวมีคนมาละเมิดลิขสิทธิ์"
มันเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของกุ ...
เออนะเออ มันไม่ยุติธรรมจริงๆๆ 555 ก็ว่ากันไปอะนะ
โลกนี้ยุติธรรมจริงๆเหรอ ?? ไม่ขอตอบหล่ะกัน..
แต่รู้สึกว่ามีสิ่งนึงที่เราได้กันเท่ากัน
หายใจมานาน 24 จะ 25 ปีแหละ...


เวลา .. นั้นไง

จะชั่วดีจะมีหรือจน พวกอดอยากหรือพวกร่ำรวย มากมีหรือน้อยนิด

เราได้เวลามาเท่ากัน...

ยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อหนึ่งวัน

ไม่มีใครได้มากว่า หรือน้อยกว่า
ไม่มีใครมาขอซื้อกันได้

อาม่าจะเสีย ลูกหลานก้บริจากเวลาให้อาม่าไม่ได้

เจ๋งเป้งงเลย พวกเราเท่าเทียมกันแล้ว ความยุติธรรมบังเกิดในจิตใจ เรามีเวลาเท่ากันน โฮะๆๆ งานนี้ไฮโซคงอิจฉาไม่ได้ ไว้ว่างๆจะไปคุยทับพวกมัน !!!

อาจจะมีบ้างในช่วงท้ายๆของชีวิตที่เราม่องแท่งกันคนละอายุ
อันนั้นเวลาหมดอายุเราไม่เท่ากันจริงๆ ^^


กฏเกณฑ์กติกาของเวลาเท่าที่ผมพอจะรู้คือ
1 พวกเราได้เวลาในแต่ละวันมาเท่ากัน
2 เวลาไม่หยุดรอมันพักไม่เป็น
3 เวลาเลยแล้วเลยไปเลยเดินหน้าตลอดไม่ return เหมือนอดีตคนรัก
4 มันไม่บอกเราหรอกว่าเราจะหมดอายุเมื่อไหร่ ??
5 อื่นๆ นึกไม่ออกแหละ 555


เอาหล่ะ ในเมื่อเรารู้กฏกติกามารยาทของเวลาแล้ว
ธรรมชาติของคนเราย่อมไม่ถูกให้อะไรมาเอาเปรียบ จริงไหม
เช่นการไฟ้ฟ้ามาวางเสาไฟ้ฟ้าหน้าบ้าน เรายังไปฟ้องศาลเตี้ยยันศาลรัฐธรรมนูญได้เลย

เช่นกัน

เราก้ไม่ควรยอมให้เวลามาเอาเปรียบเรา

แล้วทำไงดีถึงจะเอาเปรียบเวลาได้ ถึงเราจะเอาเปรียบมัน มันก็คงไปฟ้องร้องหาทนายมาสู้คดีเราไม่ได้หรอก 5555 ใครกันจะว่าความให้เวลา 55 (เริ่มจะฉลาดปนโกงอีกแล้วว^^)

หาหนังสืออ่านมาหลายเล่ม ก็ไม่มีเล่มไหนสอนเอาเปรียบเวลาไว้เลยยย จะมีใกล้ๆ ก็พวก จัดการเวลาให้คุ้มค่า เต็มที่เท่าที่มี
แต่นี้มันก็ไม่ได้เอาเปรียบเวลาเลยยย อย่างดีก็ได้แค่เต็มที่ ...

คิดแล้วคิดอีก ก็คิดไม่ออก ?????

เลิกคิดดีกว่าาา^^
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>..

ถ้าเวลามีตัวตนจริงๆ มนุษย์คงหาวิธีเอาเปรียบมันไปนานแล้วหล่ะ
ที่เราทำได้เต็มที่คงจะใช้เวลาส่วนใหญ่ๆ ไปกับสิ่งที่สร้างความหมายให้กับเรา

คนเราเกิดมาก็มีสิ่งรักสิ่งชัง เช่นกันนั้นผมก็มีสิ่งเหล่านี้
เวลา คือสะพาน สร้างสิ่งต่างๆ ให้ผมมีตัวตนบนพื้นพิภพนี้ ให้คนที่ผมรักยิ้ม
ให้คนที่ผมรักยังคงมีเวลาเพื่อรับสิ่งต่างๆที่ผมกำลังสร้างงง

ความหมายมันก็เท่านั้นเองมั้ง ความหมายของชีวิตที่เวลาพยายามบอกกับเรา
คุณค่าของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน การใช้เวลาก็คงต่างกันไป
หาไม่แล้วโลกคงน่าเบื่อแน่ๆ ที่คนเราเกิดมาทำสิ่งเดิมๆ จาก บรรพบุรุษ ส่งต่อให้ลูกหลานในสิ่งเดิมๆๆ แล้วก็เดิมๆต่อไปในอนาคต
ความหมายของชีวิตคือเรื่องราวพวกนี้จริงๆ เหรอ ??

ผมว่าไม่น่าใช่หรอกมั้ง

เวลา มันโผล่มาเท่ากันน

อยู่ที่เราแล้วหล่ะ

จะใช้เวลากับสิ่งใด

โย่ว !!

ไปหล่ะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้สายยงานเข้าแน่ ใช้เวลามากไปหน่อยยย ^^

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

พรุ่งนี้...ผมกำลังจะตาย

?สังขารนั้นเป็นของไม่ยั่งยืน...ความตายเป็นของยั่งยืน?



สิ้น เสียงเจ้าอาวาสเทศนา ในบ่ายอ่อนๆของวันอาทิตย์ ณ วัดที่มีลานธรรมอยู่กลางกลุ่มต้นไม้หนาแน่นในวัดชลประทาน ผมกับแม่ไม่ค่อยจะไปวัดกันสักเท่าไหร่ แต่วันนั้นแม่ผมมีเรื่องไม่สบายใจ...สอบถามท่านไปคำสองคำแม่บอกผมว่า เมื่อคืนฝันไม่ดีเลยอยากมาวัด.....หลังจากกลับจากวัดแม่ผมก็ยิ้มได้มากขึ้น ก็ดีใจนะ ได้แต่ปลอบๆไปว่า ?เป็นแค่ฝันนะแม่^^?



หลังจากกลับถึงบ้าน นอนเล่นและคิดอะไรนิดหน่อย ประโยคข้างต้นก็ดังก้องในสมองของผมนานหลายวันอยู่พอควร จึงมาเป็นเรื่องเล่าในวันนี้...



หากสังขารเป็นของไม่ยั่งยืน...และท้ายที่สุดทุกคนก็ต้องเดินสู่ทางดับ...มันก็ไม่น่าต้องกลัวตายเลย แน่นอน ชีวิตนี้ผมอาจมีรถได้หลายคัน แต่ผมก็ตายได้ครั้งเดียว....แฟนผมอาจจะมากมายหลายน่าตาแต่ผมก็เดี้ยงได้ครั้งเดียว...



มีเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม สองสามเรื่อง และมันเร็วมาก...


เพื่อนผม ที่ได้รู้จักกันในตอนอบรมเค้าเป็นคนที่น่าคบหาอย่างมาก เป็นเพื่อนที่เสียสละ และมีน้ำใจ หลังจากการอบรมได้ไม่นาน เค้าและครอบครัวได้ไปเที่ยว ญี่ปุ่น..

และเมื่อกลับมาประเทศไทย น็อตเพื่อนผมได้ล่มป่วยลง และได้เข้ารักษาตัวเองที่ โรงพยาบาล ด้วยโรคที่ไม่ใคร่จะเป็นกันง่ายๆ หมอได้ตรวจพบเนื้องอกในช่องอก ซึ่งมันไม่ใช่เนื้อดีหรือร้ายเท่าไหร่หากแต่ว่ามันเป็นอุปสรรคต่อการหายใจ...  สองสามวันต่อมา ผมก็ได้ไปเยี่ยมเค้าที่โรงบาล คุณแม่ของเค้ามีสีหน้าที่มีกำลังใจว่าลูกชายกำลังจะหายและมีอาการดีวันดีคืน  วันนั้นผมได้เข้าไปเยี่ยมเค้าในห้อง ICU พบ ว่าคุณหมอกำลังดูดเสมหะออกจากลำคอและมีเลือดปะปนออกมาเป็นจำนวนมาก มือทั้งสองข้างของเพื่อนผมกำแน่นเกร็งตัวงอ ดูแล้วก็รู้ว่าเจ็บมาก แต่แววตาของเค้าไม่เคยลดละว่า พรุ่งนี้....ต้องมีชีวิตต่อไป...

ก่อนที่จะกลับบผมได้ให้กำลังใจคุณแม่เค้าและเขียนข้อความให้กำลังใจเล็กๆน้อยๆในสมุดเยี่ยมของเค้าที่คุณแม่เอามาให้เขียน ก่อนกลับแม่เค้าได้บอกผมว่า ถ้าน็อตหายแล้วจะเอาให้อ่านนะ ขอบใจนะลูก.............น่าเสียดายที่เพื่อนผมไม่ได้อ่านข้อความกำลังใจเหล่านั้น..สองสามวันต่อมา เค้าก็ได้จากไปอย่างสงบไม่มีลางบอกเหตุ ไม่มีใครคาดคิด....



*************************************



เรื่องต่อมา เป็นเรื่องของรุ่นพี่ของผมเอง พี่ของผมคนนี้ชื่อมิ้น เป็นพี่ที่เรียนเก่งมาก เกียรตินิยม ใจดีและเป็นกันเอง นอกจากนั้นพี่มิ้นยังกุมความลับของผมไว้มากมาย (เรื่องแย่ๆทั้งนั้นด้วย) พี่มิ้นเป็นคนที่มีโรคประจำตัวมาตั้งแต่เด็ก เป็นโรค SLE (โรคพุ่มพวง) มาตั้งแต่อายุ 11 ขวบ และคุณหมอบอกว่าอยู่ได้ไม่เกินห้าปี....แต่ในปี พ.ศ2550 พี่มิ้นก็จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และห้าปีที่คุณหมอเคยบอกไว้ ก็ไม่เคยมาถึงสำหรับพี่มิ้นคนนี้

ผมเป็นรุ่นน้องพี่เค้าหนึ่งปี เวลาเรียนหนังสือหรือทำงานร่วมกันผมเห็นพี่มิ้นจริงจังมาก พี่เค้าจะตั้งใจทำจนสำเร็จ มีอยู่ครั้งนึงที่พี่มิ้นลงเรียนวิชากับพี่ที่แก่กว่านึงปีแล้วโดนแซวว่าไม่ ไหวก็ดรอบนะน้อง...กลับกลายเป็นว่าพี่มิ้นสอบได้ด้วยคะแนนท็อปที่สุด เล่นเอาพี่ๆปากเสียเงียบฉี่กันเป็นทิวแถว...อาจจะเพราะด้วยแรงกดดันที่ตัวเองมี เพดานของการใช้ชีวิตจำกัด จึงทำให้ทุกๆวันของพี่มิ้นมีความหมายมากกว่าคนอื่น ตอนแรกผมไม่รู้ว่าว่าไมพี่ช้านเก่งจังหนังสือหนังหาก็ไม่อ่านสักเท่าไหร่ แต่จะเห็นพี่เค้าตั้งใจทำงาน ตั้งใจเรียน ตั้งใจๆๆๆๆ ราวกับว่าถ้ากลับมาทำซ้ำมันจะเสียเวลา...

  และเมื่อสามสัปดาห์ที่ผ่านมาพี่ของผมก็ได้จากไปอย่างสงบ...ด้วยการติดเชื้ออยากฉับพลัน...และแน่นอนไม่มีลางบอกเหตุ...เป็นเวลา 14 ปีหลังจากที่พี่มิ้นเป็นโรคร้าย เป็นเวลาเก้าปีที่หมอทำนายผิด......

***********************************************



เรื่องต่อไปเป็นเรื่องของรุ่นน้องผมมชื่อน้องซายน์ คุณแม่เค้าพาน้องไปหาหมอดู และหมอดูบอกว่า ปีหน้าน้องเค้าจะตาย ไม่มีใครเชื่อหมอดูง่ายๆว่าแล้วแม่เค้าก็พาน้องไปหาหมอดูอีกหลายๆที่และทัก ในลักษณะเดียวกัน...

หลังจากพูดคุยกับน้องสักพักนึง น้องได้เล่าว่า แรกๆก็ทำใจไม่ได้ มีใครบ้างที่อยากมีเพดานหมดอายุของตัวเอง มีใครบ้างที่อยากจะคิดถึงวันนั้น แต่แล้วความสิ้นหวังผลักดันเป็นแรงบันดาลใจจ และปัจจุบันนี้ทุกๆวันของน้องซายน์เป็นวันที่สนุกสนานและเต็มที่กับชีวิต เป็นอันมาก มันอาจจะเป็ฯความสุขในแบบวัยรุ่น แต่อย่างน้อยชีวิตของน้องซายน์ก็อยู่ในวันนี้ หาคิดถึงวันพรุ่งนี้ไม่!! และวันนี้น้องของผมก็ยังมีชีวิตที่มีสีสันอยู่และผมหวังว่าน้องเค้าจะมีความสุขตลอดไป...พร้อมกับปลอบใจไปว่า ไม่ตายหรอกไอน้อง แต่อย่าประมาทนะ ^^



วันนี้ใน มือถือผม มีเบอร์ที่โทรไปไม่มีใครรับตลอดกาลอยู่สองหมายเลข

วันนี้ใน MSNผม มีเมล์ที่จะไม่ online ตลอดกาลอยู่สองรายชื่อ

วันนี้ใน Hi5 จะไม่มีเจ้าของบล็อคมาเขียนข้อความเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่สอง user

ทิ้งไว้แต่วีรกรรม ทิ้งไว้แต่ความผูกพันธ์ในวันเก่า ทิ้งไว้ในความสวยงามที่เคยร่วมใช้ชีวิตกันมา.......



ที่เขียนมานี้ไม่ได้ต้องการให้หดหู่ อ่านแล้วเศร้าหมอง หากทุกคนจำต้องหมดอายุกันถ้วนหน้า แล้วจะกลัวทำไมกับการหมดอายุ

แรงบันดาลใจเล็กๆจากบุคคลรู้จักทั้งสามคนนี้ได้สอนอะไรผมหลายอย่าง แววตาของเค้ามุ่งมั่นอย่างแรงกล้า สำหรับพวกเค้าแล้ว ไม่มีคำว่าวันพรุ่งนี้.... หากเมื่อตะวันโผล่ขึ้นฟ้ามันเป็นของขวัญชิ้นงามจากสวรรค์ที่ทำให้เค้าใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ทุกครั้งไป และเมื่อตะวันลับขอบฟ้าผมก็เชื่อว่าในวันนี้ เค้าก็ได้ทำอะไรที่เต็มที่กับชีวิตแล้วจริงๆ



ในทางศาสนา ก็มีการฝึกสมาธิกับความตายเหมือนกัน (จำชื่อไม่ได้ และไม่รู้หลักปฏิบัติ)



หากทบทวนตัวเองแล้วหลายครั้งหลายครา เวลาของผมมักปล่อยไหลผ่านแบบน้ำท่อแตกก็มี

และหลายครั้งหลายคราก็ทุ่มเทกะมันจนจำติดใจ วันนี้ยังมีทางให้เดินอีกยาวไกล

วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง นอนแปดชั่วโมง ทำงานแปดชั่วโมง ลั้นล๊าสองสามชั่วโมง ทำวันนี้เพื่อสร้างสรรค์สิ่งสวยงามในวันข้างหน้าอีกสี่ห้าชั่วโมง แต่ในทุกๆชั่วโมงมักจะมีตัวขี้เกียจมาฉุดร่ำอยู่ร่ำไป.... บิดมันออกมา เอาออกมา ออกไป๊!!! จะได้เต็มที่กะมันน มีเรื่องราวอีกร้อยแปดพันเก้าที่ยังไม่ได้ทำเลยยยย

ยังหาลูกสะใภ้ให้แม่ไม่ได้เลย (รอแปปนะแม่ โฮะๆๆ)

จีบเธอยังมะติดเลย

ความฝันยังทำไม่สำเร็จเลย

นู้นนี้นั้นก็เหลืออีกเยอะ



หากมองมือทั้งสองข้างเหมือนอนาคตของเรา ขาทั้งสองข้างเป็นปัจจุบันของเรา การใช้มือไขว่ขว้าหาอนาคตของเราโดยขาได้ไม่ได้ขยับไปไหน แล้วเราจะวิ่งถึงความฝันของเราได้เหรอ มันก็เหมือนอยู่ที่วันนี้แล้วนั่งฝันถึงพรุ่งนี้

ขาและแขนจำเป็นต้องไปด้วยกันฉันใดการลงมือทำวันนี้ให้เต็มที่ ขว้าไขว่ฝันในวันหน้ามันก็ต้องคู่กันฉันนั้นหล่ะนาา เมื่อถึงวันนหน้าเราก็จะไม่เสียใจเสียดายการกระทำในวันนนี้เลย ก็เมื่อเราเต็มที่แล้วนี้ เจรงม๊า



?ศรัทธามักสร้างปาฏิหาร โชคชะตามักเข้าข้างคนที่ลงมือทำ?



?ทำวันนี้ในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ แล้วพรุ่งนี้เราจะเป็นในสิ่งที่คนอื่นเป็นไม่ได้? (ยืมมาจากไหนแล้วจำไม่ได้) ก็ นี้เป็นแรงบันดาลใจเล็กๆที่เวลาหมดแรงก็นึกถึงให้พอตะกุยตะกายทำมันไปได้ อาจจะไม่ได้ตั้งใจสักเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้นอกลู่นอกทางสักทีเดียว ก็ทำไปเรื่อยๆๆ ค่อยๆสะสม ^^ และยิ้มสนุกสนานกับมัน ^^



เพดานหมดอายุได้กำหนดขึ้นแล้วสิ ตั้งแต่เกิดแล้วว..ก็คงเป็นสักวันนึงหน่ะ!!

เอาหล่ะวันนี้ผมจะเต็มที่กับชีวิตสักที....^^

แล้วคุณหล่ะเต็มที่กับชีวิตหรือยัง??? จะจ๊า